วันที่ 14 พฤศจิกายน 2563 นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขอตอักษร ผอ.สบอ.9 ลงพื้นที่ตรวจสอบการลักลอบทำไม้ บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ ขสป.ห้วยศาลา ท้องที่ จ.ศรีสะเกษ
สืบเนื่องตั้งแต่เดือน ก.ค. 63 เป็นต้นมา ขสป.ห้วยศาลา ขสป
ห้วยทับทัน และ ขสป พนมดงรัก พบการลักลอบทำไม้ ล่าสัตว์ป่า และมีการปะทะกับกลุ่มผู้ลักลอบที่เป็นชาวกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่ช่วงเดือน กรกฎาคม – ตุลาคม จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2563 เจ้าหน้าที่ ชุด Smart Patrol ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง หน่วยเฉพาะกิจที่ 3 กองกำลังสุรนารี ได้ร่วมกันออกตรวจลาดตระเวน จนไปถึงบริเวณแนวชายแดนช่องตามี พบการกระทำผิดลักลอบทำไม้ เป็นชาย 4 คน จึงแสดงตัวเข้าจับกุม แต่ปรากฎว่า เมื่อเข้าแสดงตัวเกิดการปะทะกัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงบาดเจ็บ 1 ราย และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 ราย เป็นชาวกัมพูชาพร้อมอาวุธปืน อาก้า AK47 ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นทหารกัมพูชา แต่จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ
ทำให้วันนี้ (14 พ.ย. 63 ) นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สบอ.9 จึงได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบไม้ในบริเวณใกล้เคียงจากจุดปะทะ โดยพื้นที่บริเวณดังกล่าว เป็นแนวชายแดน ยังไม่มีการปักปันเขตแดน และพื้นที่เป็นเขตทุ่นระเบิดเดิม ซึ่งมีข้อตกลงร่วมกันว่าห้ามมีการบุกรุก ทำลายทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าตามแนวพื้นที่ดังกล่าว จึงต้องขอความสนับสนุนกำลัง ซี่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังนี้
1 หน่วยเฉพาะกิจที่ 3 กองกำลังสุรนารี
2 ทหารพรานที่ 2601
3 ทีม T-MAC
4 อส.อ.ภูสิงห์
ในการร่วมเข้าตรวจสอบไม้ และตรวจสอบทุ่นระเบิดในการเข้าดำเนินการ
โดยออกเดินทางขับรถ จาก ขสป.ห้วยศาลา เวลา 07.50 น. ถึงฐานทหารพรานพลาญรถเขียว เวลา 08.30 น. ระยะทางประมาณ 19 กม. และเวลาประมาณ 09.00 น. รวมพลทุกสังกัด โดยมีหัวหน้าชุดทหาร ในการชี้แจ้งการเดินทาง เข้าพื้นที่ และหลังจากนั้น เดินทางต่อเวลาประมาณ 09.30 น.โดยขับรถระยะทางประมาณ 3 กม. ถึงสามแยกช่องตามี เวลาประมาณ 10.15 น. และเดินเท้าต่ออีกประมาณ 3 กม. ถึงจุดไม้ที่ถูกตัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ระหว่างทางเดินในช่วงผ่านเส้นทางทุ่นระเบิด เจ้าหน้าที่ทุกนายต้องเดินในเส้นทางความกว้างห้ามเกิน 1 เมตร เพราะทีม T-Mac ตรวจทุ่นระเบิดในช่วงความกว้างของระยะทางเดินเท่านั้น เพื่อความรวดเร็ว ทั้งนี้แม้จะมีการตรวจสอบไปแล้วบ้าง แต่ขณะที่เดินสัญญาณตรวจจับทุ่นระเบิดก็ทำงานเป็นระยะ โดยระเบิดที่พบ คือ
1. ชนิดขวาก ใช้ในการเป็นกับดักทำรายบุคคลให้เหยียบ บาดเจ็บ และล้มลง ถูกกับระเบิดที่วางไว้ต่อ
2 ชนิดสังหารบุคคลอยู่กับที่ MD82B โดยจะทำงานเมื่อมีน้ำหนักกดทับระเบิด 7 ปอนด์ ทำให้ผู้ถูกกับระเบิดขาขาดหรืออาจถึงแก่ชีวิต
3 ชนิดสังการกลุ่มบุคคล (ฝักข้าวโพด) แบบสะเก็ดระเบิด ฉนวนแบบลวดสะดุด โดยทำงานเมื่อมีคนไปสะดุดเส้นลวด ระเบิดจะเกิดสะเก็ดระเบิดระยะไกลกว่า 10 เมตร
การลักลอบทำไม้ จะเริ่มพบตั้งแต่บริเวณที่เป็นพื้นที่ทุ่นระเบิดเดิมเป็นต้นไป และต้นไม้ที่ถูกตัดล้วนแต่เป็นแม่ไม้ ขนาดใหญ่ แต่ละต้นมีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี ตรวจสอบได้ทั้งหมด จำนวน 69 ต้น ได้แก่
1.ตะเคียนทอง 45 ต้น
2. กระบาก 24 ต้น
รวมปริมาตรไม้ 336.79 ลบ.ม. หากสามารถนำไม้ออกจำหน่ายได้ตีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาท มูลค่านี้ยังไม่รวมกับไม้ที่กลุ่มผู้ลักลอบนำออกไปแล้ว
โดยต้นที่ใหญ่ที่สุดคือ ต้นกระบากมีขนาดความโตเส้นรอบวง 630 cm. เส้นผ่านศูนย์กลาง 150 cm. ความสูงไม่ต่ำกว่า 30 ม.
จากสภาพพื้นที่ในบริเวณใกล้จุดตัดไม้ ไม่มีลักษณะของตั้งแคมป์ ไม่มีที่อยู่อาศัยของทั้งชาวบ้านใดๆ อยู่ในรัศมีของบริเวณกลุ่มไม้ที่ถูกตัด มีเพียงฐานทหารของกัมพูชา จำนวน 3 ฐาน ที่อยู่ใกล้กลุ่มไม้ที่ถูกตัดที่สุด และลักษณะของการทำไม้ คาดการณ์ว่า “มีนายทุน ต้องการไม้ นำไปส่งเพื่อสร้างบอลคาสิโน่ ที่ช่องสะงำ, แกะสลักไม้, หรือตดแต่งภายในบ้าน เพราะไม้ที่ถูกตัดทุกจุด ถูกแปรรูปพร้อมนำส่ง ขนาดที่พบ อาทิ
- ประตู ขนาดกว้าง 50 ซม. ยาว 220 ซม. หนา 2 นิ้ว
- วงกลมประตู ขนาดกว้าง 8 นิ้ว หนา 4 นิ้ว ยาว 250 ซม. และที่มีความยาว 400 ซม.
- แผ่นไม้พื้นที่ ขนาดกว้าง 150 ซม. ยาว 400 ซม หนา 2 นิ้ว
ลักษณะของการทำงานของกลุ่มทำไม้ เป็นดังนี้
1 มีบุคคลมาสำรวจ และชี้บอกพิกัดต้นไม้
2 ชุดคนตัดไม้ พร้อมแปรรูปตามขนาด order
3 ชุดเคลียร์พื้นที่เอารถมาชักราก ขนไม้ โดยพบร่องรอยรถอีแต๋น ในเส้นทางเดินสำรวจ
4 นำส่งออกข้างฐานกองกำลังกัมพูชา
ซึ่งระหว่างการสำรวจได้พบกับทหารกัมพูชา จำนวน 6 คน พร้อมอาวุธครบมือ อาก้า ชนิด AK 47 ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันกับที่พบกับผู้ต้องหาเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 63
เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าพูดคุยและเจรจากับทหารกัมพูชา อ้างตนว่าชื่อ ตำแหน่ง ยศ ว่า
ชื่อ ร้อยโท พอน พน ตำแหน่ง รอง ผบ.ร้อยกองชาดตระเวนที่ 5 ประจำช่อง สำโรง รับผิดชอบ ชุดปฎิบัติการย่อย 9 ชุด
ชุดละ 12 คน
สรุปใจความได้ ดังนี้
1.ทหารกัมพูชาชุดนี้ เพิ่งสลับสับเปลี่ยนกำลังเข้ามาได้ 1 เดือน แต่ก็ยอมรับว่าพบชาวบ้านประเทศตน ทำไม้และนำไม้ออกผ่านทางช่องฐานที่ตนปฏิบัติหน้าที่อยู่ ซึ่งตนก็ได้ว่ากล่าวตักเตือน
- ทหารกัมพูชา ยังบอกอีกว่า ไม้ที่ชาวบ้านนำออก เอาไปใช้เองบ้าง และก็นำส่งเพื่อก่อสร้างคาสิโน่ ที่ช่องสะงำ
- ร่องรอยรถที่เป็นเส้นทางเข้ามาจากกัมพูชา ทหารกัมพูชา ยอมรับว่าน่าจะเป็นรถขนไม้ของชาวบ้าน รถอีแต๋น
- ทหารกัมพูชา ทราบเรื่องที่เกิดการปะทะกันเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 63 และผู้ต้องหาที่เจ้าหน้าที่ไทยจับกุมได้นั้น ทางทหารก็รับทราบว่า เป็นพลทหารของชาวกัมพูชาจริง
- ทหารกัมพูชา ตกลงหากเราจะมีการร่วมเดินลาดตระเวนตามแนวชายแดนที่ยังไม่ได้มีการปักปันเขตแดน และไม่ติดใจหากทางเจ้าหน้าที่ไทยจับกุมชาวกัมพูชา แล้วดำเนินคดี
และหลังจากนั้น ไทยได้ชี้แจ้งว่าขึ้นมาสำรวจต้นไม้ที่ถูกตัดโค่น หากดำเนินการแล้วเสร็จก็จะเดินทางกลับ
การเจราจาผ่านไปได้ด้วยดี
จากการลงพื้นที่สำรวจ สภาพไม้ และลักษณะที่พบคาดว่ามีการดำเนินการตัด โค่นไม้ ตั้งแต่ในช่วงไม่ต่ำกว่า 3 – 6 เดือนผ่านมาแล้ว เพราะยางไม้กระบากบางต้นมีความแห้ง และเริ่มมีปลวกขึ้น และคาดว่ามีการทำไม้อย่างหนักในช่วงที่มีการพลัดเปลี่ยนกำลังของฝ่ายความมั่นคง หน่วยเฉพาะกิจที่ 3 กองกำลังสุรนารี เมื่อช่วงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จากเดิมเป็นชุดทหารราบ ร.16 พลัดเป็นชุดทหารม้าบรรทุกยานเกาะ ทำให้เกิดช่องว่าของเวลาเพียงเล็กน้อย แต่ผู้ลักลอบทำไม้อาศัยช่วงเวลานี้ในการขนกำลังขึ้นมาทำไม้ไม่น้อยกว่า 100 คน ด้วยไม้ที่ตัดเป็นต้นใหญ่ และแปรรูปพร้อม โดยทำในลักษณะเช้าเย็นกลับ เนื่องจากสภาพพื้นที่ไม่มีร่องรอยการตั้งที่พักแต่อย่างใด
ซึ่งในช่วงก่อนที่จะเป็นชุดทหารม้าบรรทุกยานเกาะ มารับหน้าที่ดูแลพื้นที่ประจำหน่วยเฉพาะกิจที่ 3 กองกำลังสุรนารี นั้น การเข้าพื้นที่ในบริเวณจุดที่มาการลักลอบทำไม้ จะต้องมีการขออนุญาต แจ้งก่อนเข้าพื้นที่ทุกครั้ง และต้องเข้าลาดตระเวนร่วมกัน ด้วยพื้นที่เป็นพื้นที่ล่อแหลม ยังไม่ได้ปักปันเขตแดน เสี่ยงในเรื่องด้านความมั่นคง ประกอบกับเป็นพื้นที่ทุ่นระเบิด ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าลาดตระเวรในพื้นที่ดังกล่าวได้ แต่เมื่อมีการพลัดเปลี่ยนกำลัง ได้มีการประสานร่วมกันออกตรวนลาดตระเวน ทำให้พบเหตุการณ์ปะทะเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 63 ที่ผ่านมา
และจากการพูดคุย กับทหารกัมพูชา แม้จะอ้างว่า กลุ่มมาตัดทำไม้ เป็นกลุ่มชาวบ้าน แต่กลับขัดแย้งกับที่ทราบว่าทหารกัมพูชาตนปะทะกับเจ้าหน้าที่ไทย เพราะเข้ามาลักลอบทำไม้
จากเหตุการณ์ข้างต้น นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สบอ.9 จึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัด ออกตรวจลาดตระเวนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างเคร่งครัด แม้พื้นที่จะยังไม่การปักปันเขตแดน หรือเป็นพื้นที่ทุ่นระเบิดก็ตามแต่ ให้ขอความอนุเคราะห์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมออกตรวจลาดตระเวนต่ออย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะยังพบการลักลอบทำไม้ตามแนวชายแดนเช่นนี้อยู่เป็นแน่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตามแนวชายแดน ที่ประเทศเพื่อนบ้านเข้ามารุกล้ำ หรือทำลายทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า จะต้องมีการนำเรียนผู้บริหารระดับสูง เพื่อพิจารณาหารือ และตกลง ทำความเข้าใจกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดการปะทะ และสูญเสียเกิดขึ้น
นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สบอ.9 อุบลราชธานี
รายงาน